นับเป็นหลักชัยสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นของยุคแบตเตอรี่โซเดียม
ก้านโจว, จีน–9 มกราคม 2567–พีอาร์นิวส์ไวร์/ —
การถือกำเนิดขึ้นของเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซเดียมไอออน (sodium-ion) ได้ผลักดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในส่วนของเทคโนโลยีแบตเตอรี่
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ณ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทเจเอ็มอีวี (JMEV) ในนครหนานชาง มณฑลเจียงซี ประเทศจีน ได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองให้กับรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนของบริษัท ฟาราซิส เอเนอร์จี (Farasis Energy) เนื่องในโอกาสที่ออกจากสายการผลิตเป็นที่เรียบร้อย
โดยรถยนต์ไฟฟ้า JMEV EV3 (Youth Edition) ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่ม A00 รุ่นแรกของโลกที่ใช้แบตเตอรี่นวัตกรรมใหม่ดังกล่าว โดยมีระยะทางวิ่ง 251 กิโลเมตร สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่วัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยพลัง ตอบโจทย์การเดินทางในชีวิตประจำวันและการสัญจรทั่วเมือง
แบตเตอรี่โซเดียมไอออนของฟาราซิส เอเนอร์จี โดดเด่นด้วยการผสานเลเยอร์ออกไซด์ (layered oxides) และคาร์บอนแข็ง (hard carbon) ซึ่งสร้างมาตรฐานที่น่าประทับใจสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ดังนี้
- ความหนาแน่นของพลังงาน: 140-160 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม
- ความปลอดภัย: เซลล์แบตเตอรี่ได้รับการทดสอบอย่างครอบคลุม โดยผ่านการทดสอบหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการทดสอบการลัดวงจร การชาร์จไฟมากเกินไป การคายประจุมากเกินไป การบวม และการแช่น้ำ ขณะที่ชุดแบตเตอรี่ก็ได้มาตรฐาน โดยไม่มีการสะสมความร้อนจนควบคุมไม่ได้ (no thermal runaway หรือ NO TP)
- ประสิทธิภาพการทำงานในอุณหภูมิต่ำ: แบตเตอรี่รักษาความสามารถในการคายประจุได้มากกว่า 91% ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส (-4 องศาฟาเรนไฮต์)
- วงจรชีวิต: อายุการใช้งานที่ยาวนานสามารถตอบโจทย์การใช้งานของรถยนต์โดยสารไฟฟ้าและรถสองล้อไฟฟ้า
- วัสดุเคมี: นอกจากเลเยอร์ออกไซด์แล้ว ฟาราซิส เอเนอร์จี ยังก้าวล้ำในด้านการพัฒนาวัสดุระดับพรีเมียมอื่น ๆ เช่น ปรัสเซียนบลูแอนะล็อก (Prussian blue analogue) และสารประกอบโพลีอะนิโอนิก (polyanionic)
นอกจากนี้ ฟาราซิส เอเนอร์จี กำลังเตรียมพร้อมสำหรับก้าวกระโดดครั้งใหญ่ขั้นต่อไปในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเปิดตัวแบตเตอรี่โซเดียมไอออนรุ่นที่สองในปี 2567 นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีความหนาแน่นของพลังงาน 160-180 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม และจะเพิ่มขึ้นเป็น 180-200 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม ในปี 2569 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนของบริษัทมากยิ่งขึ้น ฟาราซิส เอเนอร์จี จึงเดินหน้าสร้างความร่วมมือในหลายภาคส่วน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กกลุ่ม A00 รถสองล้อไฟฟ้า บริการสลับแบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) โดยบริษัทได้รับกระแสตอบรับเชิงบวกจากลูกค้าที่ได้รับมอบและทดลองใช้งานแบตเตอรี่ต้นแบบ
ในขณะที่เริ่มมีการผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนในปริมาณมาก ฟาราซิส เอเนอร์จี ก็มีความพร้อมเชิงกลยุทธ์ในการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการดึงดูดลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยแบตเตอรี่โซเดียมไอออนที่มีประสิทธิภาพการทำงานยอดเยี่ยมในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาระยะทางวิ่งที่ลดลงเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าเจอกับอากาศเย็น นอกจากนี้ ความปลอดภัยและราคาที่เอื้อมถึงยังทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ในสถานการณ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมกับยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้นวัตกรรมแบตเตอรี่โซเดียมไอออนเป็นส่วนเสริมที่สำคัญสำหรับระบบแบตเตอรี่ลิเธียมที่เน้นความคุ้มค่าและความปลอดภัยเป็นสำคัญ ครอบคลุมถึงระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และเชิงพาณิชย์
Source : รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนของ "ฟาราซิส เอเนอร์จี" ออกจากสายการผลิตแล้ว
The information provided in this article was created by Cision PR Newswire, our news partner. The author's opinions and the content shared on this page are their own and may not necessarily represent the perspectives of Siam News Network.